Pages - Menu

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อินเตอร์เน็ตแฟนฟิกชัน (Internet Fan Fiction)

อินเตอร์เน็ตแฟนฟิกชัน

(Internet Fan Fiction)


         ทัชเน็ต (Tushnet, 2008) ได้ให้ความหมายของแฟนฟิกชัน (fan fiction) ไว้ว่า แฟนฟิกชันคือการสร้างสรรค์นวนิยายโดยแฟนนวนิยาย โดยปกติจะพบในงานที่ได้รับความนิยม                 เช่น หนังสือและภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รีพอเตเตอร์ เมื่อพูดอย่างกว้างๆ แฟนฟิกชันก็คือการเขียนเชิงสร้างสรรค์ทุกประเภทที่มาจากส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยม เช่น รายการโทรทัศน์ และไม่ได้ถูกสร้างขึ้นให้มีลักษณะแบบงานเขียนมืออาชีพ แฟนฟิกชัน แฟนฟิก FF หรือฟิก คือเรื่องราวที่เขียนโดยคนที่คลั่งไคล้นวนิยาย ภาพยนตร์ การ์ตูนและรายการโทรทัศน์ การเขียนก็จะมีการดัดแปลงหรือเปลี่ยนงานจากงานต้นฉบับมากกว่าจะเป็นการเขียนขึ้นโดยการอิงบทบาทของตัวละครจากเรื่องเดิม การเขียนแฟนฟิกชันแทบจะเป็นงานเขียนที่ไม่ได้รับลิขสิทธิ์จากเจ้าของผลงาน ผู้สร้างสรรค์ หรือสำนักพิมพ์ และงานเขียนประเภทแฟนฟิกชันก็แทบจะไม่ได้รับการตีพิมพ์ กล่าวโดยสรุปว่า แฟนฟิกชันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยแฟนของสื่อประเภทต่างๆ เช่น การ์ตูน โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับตัวละครของเรื่องต้นฉบับแต่โครงเรื่องเป็นคนละแบบกัน
          อิแวนส์ (Evans, 2006) ได้ให้ความหมายของอินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชันไว้ว่า อินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชัน หมายถึง งานเขียนที่เขียนขึ้นจากความชื่นชอบภาพยนตร์ นวนิยาย รายการโทรทัศน์หรือสื่ออื่นๆ ที่อยู่ในความนิยมโดยการนำบุคลิกภาพของตัวละครและสถานการณ์ในเนื้อเรื่องเดิมมาเขียนขึ้นใหม่และถูกเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เน็ต แฟนฟิกชันจึงเป็นสื่อในการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความคิดของตนเองตามจินตนาการ
          เจ (Jae, 2002) ได้ให้ความหมายของอินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชันไว้ว่า อินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชัน คือ เรื่องที่แต่งขึ้นโดยมีพื้นฐานมาจากงานเดิมของผู้แต่ง ตัวละครและฉากไม่ได้สร้างขึ้นจากความคิดของผู้เขียนแต่มาจากรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ หนังสือ การ์ตูน หรือเกมคอมพิวเตอร์ ซึ่งในบางครั้งแฟนฟิกชันเป็นการเขียนตามจินตนาการจากเรื่องราวในชีวิตประจำวันของบุคคลแล้วเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตเรียกว่า RPF ซึ่งย่อมาจากคำว่า Real Person Fiction



ประเภทของอินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชัน
          เพนโฟลด์ 389 ได้แบ่งประเภทของอินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชันไว้ว่า อินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชันสามารถแบ่งย่อยๆได้หลายประเภท โดยแบ่งตามเนื้อเรื่องที่อ้างถึงหรือแบ่งตามเนื้อหาของแฟนฟิกชันที่แต่งขึ้น ซึ่งในภาษาอังกฤษมีการกำหนดคำศัพท์ที่ใช้ในการแบ่งประเภทของแฟนฟิกชันดังนี้ 
          1. Slash คือ ประเภทของแฟนฟิกชันชนิดหนึ่งซึ่งมักจะเขียนขึ้นโดยเหล่าผู้หญิง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคววามสัมพันธ์ของตัวละครที่มีเพศเดียวกันจะเป็นชาย/ชาย หรือหญิง/หญิงก็ได้แล้วแต่รสนิยมของผู้แต่ง
          2. RPS  ย่อมาจาก Real People/ Person Slash เป็นลักษณะการเขียนฟิกชันที่นำเอาตัวละครที่มีอยู่จริงมาเขียนโดยให้มีสัญลักษณ์ นิสัย หน้าที่การงาน ฯลฯ เหมือนกับตัวจริง เช่น ยูโน-ยุนโฮ
          3. AU  ย่อมาจาก Alternate Universe เป็นรูปแบบการเขียนฟิกชันอีกชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นโดยจินตนาการล้วนๆไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงแต่อย่างใด คงไว้เพียงหน้าตาตัวละครและจะเป็นลักษณะนิสัยเล็กๆน้อยๆของตัวละคร 
          4. OC, OFC, OMC,  ย่อมาจาก Original Character, Original Female Character และ Original Male Character หมายถึง ตัวละครที่ตัวผู้เขียนสร้างขึ้นมาเอง ทั้งชายและหญิง ไม่มีอยู่จริง
          5. Ficlet หมายถึง ฟิกชันสั้นๆ ตอนเดียวจบที่มีการพล็อตเหตุการณ์ให้เห็นเด่นชัด
          6. Short Fic หมายถึง ฟิกชันสั้นๆที่จบในตอนเดียว มีความหมายคล้ายกับ Ficlet
          7. One Shot หมายถึง ฟิกชันที่แต่งจบเรื่องตอนเดียว
          8. Drabble หมายถึง รูปแบบการเขียนฟิกชันที่สั้นมากๆ โดยมีความยาวไม่เกิน 100 คำ
          9. Double Drabble หมายถึง รูปแบบการเขียนฟิกชันที่มีความยาวไม่เกิน 200 คำ
          10. Dribble หมายถึง รูปแบบการเขียนฟิกชันแบบสั้นมาก ความยาวประมาณ 100 ประโยคเท่านั้นจะเขียนเรียงลงมาเว้นบรรทัดลักษณะคล้ายกลอน
          11. PWP ย่อมาจาก Plot? What? Plot? ซึ่งก็เป็นประเภทฟิกชันที่เขียนขึ้นมาโดยปราศจากการพล็อตเรื่องหรือในอีกความหมายหนึ่งคือ Porn Without Plot 
          12. POV ย่อมาจาก Point of View ลักษณะการเขียนฟิกชันในรูปแบบหนึ่งที่เล่าเรื่องโดยมุมมองของบุรุษที่หนึ่ง
          13. Songfic คือ เรื่องที่เขียนขึ้นโดยมีเนื้อเพลงเป็นแรงบันดาลใจในการแต่ง
          14. G สำหรับฟิกชันที่มีเนื้อหาประเทืองปัญญา สร้างสรรค์ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย
          15. PG สำหรับฟิกชันที่มีเนื้อหาหนักกว่า G มีการบรรยายฉากรัก มีคำหยาบเล็กน้อย
          16. PG-13 สำหรับฟิกชันที่มีความรุนแรงทั้งในด้านการกระทำและภาษาที่ใช้มีการบรรยายฉากรักที่มีความสัมพันธ์ทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้องรวมไปถึงการฆ่าตัวตาย สุรา ยาเสพติด ฯลฯ
          17. R สำหรับฟิกชันที่มีการบรรยายฉากรักอย่างโจ่งแจ้งและมีเรื่องเกี่ยวกับความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น การข่มขืน
          18. NC-17 มีการบรรยายฉากรักกันเป็นขั้นเป็นตอนราวกับหนังสือ How to ไม่เหมาะสมกับเด็กๆและควรใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างมาก
         19. X มีความหมายทั่วไปเหมือนกับ NC-17 แตกต่างอยู่ตรงที่เรต X นี้ทั้งเรื่องมีแต่เซ็กซ์และไม่มีเนื้อหาอะไรไปมากกว่านี้ 
          20. XXX เรตสำหรับเรื่องที่บรรยายด้วยภาพอย่างไม่ปิดบัง ไม่ค่อยนิยมใช้กับฟิกชันกล่าวคือ ฟิกชันเน้นที่จินตนาการไม่ได้เน้นให้เห็นเป็นภาพชัดเจนนั่นเอง



การเขียนอินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชัน

         แอนเซียโน (Anciano, 2000) กล่าวว่า สื่อแทบทุกประเภทสามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนแฟนฟิกชันได้ เรียกได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีรายการโทรทัศน์ที่โด่งดัง จะต้องมีแฟนฟิกชันของรายการนั้น

การสอนภาษาอังกฤษโดยใช้อินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชัน
         
         เจนคินส์ (Jenkins, 2008) ได้กล่าวถึงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษสำหรับผู้เรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 โดยใช้แฟนฟิกชันว่า เป็นการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานเขียนประเภทแฟนฟิกชันเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับรูปแบบการเขียนแฟนฟิกชัน โดยให้ผู้เรียนได้ฝึกอ่านและค้นคว้างานเขียนแฟนฟิกชันที่อยู่ในความสนใจหรือมีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้นๆมาก่อนแล้ว
          แบล็ก และรีเบกกา (Black& Rebecca) ได้กล่าวถึงการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้อินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชันไว้ว่า การใช้แฟนฟิกชันในห้องเรียนเป็นการฝึกทักษะการเขียนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษางานเขียนที่สนใจจากเว็บไซต์ การสอนการเขียนในแฟนฟิกชันควรต้องมีการระวังเรื่องรูปแบบการใช้ภาษาและคุณธรรมจริยธรรมของผู้เรียน สำหรับประเด็นการใช้ภาษา ผู้สอนจะต้องให้ความใส่ใจเพราะภาษาในบางกรณีที่ใช้ในสังคมออนไลน์นั้นเป็นภาษาที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง หรือเป็นคำศัพท์เฉพาะที่จะต้องมีการอธิบายเพิ่มเติมและปรบให้เหมาะสมกับระดับชั้น ในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมนั้นเป็นประเด็นที่เคยมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า การสอนโดยใช้แฟนฟิกชันนั้นอาจขัดต่อศีลธรรม ผู้สอนจึงมีหน้าที่กำหนดขอบเขตในบางเรื่องและกระตุ้นให้ผู้เรียนมีจินตนาการในทางสร้างสรรค์และไม่ขัดต่อหลักศีลธรรม

ที่มา :  http://beeinternetfanfic.blogspot.com/

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน 

(COMPUTER-ASSISTED INSTRUCTION)


ความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)  คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) หรือ CAI เป็นสื่อการเรียน การสอนที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากสีสันที่สวยงามแล้ว ยังมีลักษณะการทำงานในรูปแบบของสื่อประสม (Multimedia) คือใช้สื่อร่วมกันมากกว่า 1 ชนิด เช่น ตัวอักษร ภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว ที่สำคัญคือสามารถ โต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับ คอมพิวเตอร์ มีการประเมินผลเพื่อสนองตอบให้กับผู้เรียนอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลก ที่คอมพิวเตอร์ช่วยสอน จะเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในยุคการศึกษาไร้พรมแดน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คืออะไร ?
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI หรือบางตำราอาจเรียกว่า Computer Aided Instruction ) เป็นกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ ในการนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียน แบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) คือสามารถโต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ไม่ได้หมายความถึง CAI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงคำอื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน คือ
– CBT – Computer Based Training
หรือ Computer Based Teaching
– CBE – Computer Based Education
– CAL – Computer Aided Learning Computer Assisted Learning
– CMI – Computer Managed Instruction
– IMMCAI – Interactive Multimedia CAI
โดยมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ ซึ่งเรียกย่อๆ ว่า 4-I คือ
สารสนเทศ (Information) หมายถึง เนื้อหาสาระที่ได้รับการเรียบเรียง ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ หรือได้รับทักษะอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ผู้สร้างได้กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ การนำเสนออาจเป็นไปในลักษณะทางตรง หรือทางอ้อมก็ได้ ทางตรงได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทติวเตอร์ เช่นการอ่าน จำ ทำความเข้าใจ ฝึกฝน ตัวอย่าง การนำเสนอในทางอ้อมได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทเกมและการจำลอง
  ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individualized) หมายถึง ต้องตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล การตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล คือลักษณะสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บุคคลแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันทางการเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นสื่อประเภทหนึ่งจึงต้องได้รับการออกแบบให้มีลักษณะที่ตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลให้มากที่สุด
การโต้ตอบ (Interactive) คือการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอนการเรียน การสอนรูปแบบที่ดีที่สุดก็คือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนได้มากที่สุด  การให้ผลป้อนกลับโดยทันที (Immediate Feedback) ผลป้อนกลับหรือการให้คำตอบนี้ถือเป็นการ เสริมแรงอย่างหนึ่ง การให้ผลป้อนกลับแก่ผู้เรียนในทันทีหมายรวมไปถึงการที่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สมบูรณ์จะต้องมีการ ทดสอบหรือประเมินความเข้าใจของผู้เรียนในเนื้อหาหรือทักษะต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ปี ค.ศ. 1950 ศูนย์วิจัยของ IBM ได้พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยงาน ด้านจิตวิทยา นับเป็นจุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ปี ค.ศ. 1958 มหาวิทยาลัยฟลอริดา สหรัฐอเมริกา พัฒนา คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ช่วยทบทวนวิชาฟิสิกส์ และสถิติ พร้อมๆ กับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้นำคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มาใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา
ปี ค.ศ. 1960 มหาวิทยาลัยอิลินอย จัดทำ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ด้านจิตวิทยาการศึกษา และวิศวกรรมศาสตร์ ภายใต้ชื่อ PLATA CAI – Programmed Learning for Automated Teaching Operations CAI
ปี ค.ศ. 1970 มีการนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มาใช้ในทวีปยุโรป โดยฝรั่งเศส และอังกฤษ เป็นผู้เริ่มต้น
ปี ค.ศ. 1671 มหาวิทยาลัย Taxas และ Brigcam Young ร่วมกันพัฒนา คอมพิวเตอร์ช่วยสอน กับมินิคอมพิวเตอร์ โดยผสมผสานคอมพิวเตอร์กับโทรทัศน์ ช่วยสอนวิชาภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ ภายใต้โครงการ TICCIT – Time-shared Interactive Computer Controlled Information Television
ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีมัลติมีเดีย
ลักษณะของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
        คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการเรียนการสอนแบบรายบุคคลที่นำเอาหลักการของบทเรียนโปรแกรมและเครื่องช่วยสอนมาผสมผสานกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะตอบสนองในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเป็นรายบุคคล
องค์ประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1.
เสนอสิ่งเร้าให้กับผู้เรียน ได้แก่ เนื้อหา ภาพนิ่ง คำถาม ภาพเคลื่อนไหว
2.
ประเมินการตอบสนองของผู้เรียน ได้แก่ การตัดสินคำตอบ
3.
ให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการเสริมแรง ได้แก่ การให้รางวัล หรือ คะแนน
4.
ให้ผู้เรียนเลือกสิ่งเร้าในลำดับต่อไป
ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1.
บทเรียน (Tutorial) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมาในลักษณะของบทเรียนโปรแกรมที่เสนอเนื้อหาความรู้เป็นส่วนย่อย ๆเลียนแบบการสอนของครู
2.
ฝึกทักษะและปฏิบัติ (Drill and Practice) ส่วนใหญ่ใช้เสริมการสอน ลักษณะที่นิยมกันมากคือ การจับคู่ ถูก-ผิด เลือกข้อถูกจากตัวเลือก
3.
จำลองแบบ (Simulation) นิยมใช้กับบทเรียนที่ไม่สามารถทำให้เห็นจริงได้
4.
เกมทางการศึกษา (Educational Game)
5.
การสาธิต (Demonstration) นิยมใช้ในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
6.
การทดสอบ (Testing) เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
7.
การไต่ถาม (Inquiry) ใช้เพื่อการค้นหาข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด
8.
การแก้ปัญหา (Problem Solving) เน้นการให้ฝึกการคิดการตัดสินใจ
9.
แบบรวมวิธีต่าง ๆ เข้าด้วย (Combination) ประยุกต์เอาวิธีสอนหลายแบบมารวมกันตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1.
ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถของตนเอง โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2.
นักเรียนได้เรียนเป็นขั้นตอนจากง่ายไปหายากอย่างเป็นระบบ
3.
มีความสะดวกในการทบทวนบทเรียน
4.
ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาเรียน นักเรียนสามารถศึกษาจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ขณะที่อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่โรงเรียน
5.
ลดเวลาในการเรียนการสอน เนื่องจากเป็นการเรียนการสอนแบบเอกัตบุคคล ซึ่งนักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีการวัดผลและประเมินผลไปพร้อมๆ กัน และยังช่วยนักเรียนที่มีปัญหาในการเรียน โดยการจัดโปรแกรมเสริมในส่วนที่เป็นปัญหาหรือใช้เสริมความรู้ให้กับนักเรียน ที่เรียนรู้ได้เร็ว โดยไม่ต้องคอยเพื่อนในชั้นเรียน
6.
สร้างทัศนคติที่ดีให้แก่นักเรียน โดยนักเรียนต้องฝึกความรับผิดชอบต่อตนเอง ในการเรียนและสร้าง
ทัศนคติที่ดีในการเรียนด้วย
7.
ทำในสิ่งที่สื่ออื่น ๆ ทำไม่ได้ เช่น การตัดสินใจเสนอเนื้อหาใหม่ ๆ หรือการตัดสินใจ เรียนซ้ำในเนื้อหาเดิม
8.
ลดเวลาในการสอนของครู ในการเรียนวิชาที่มีการฝึกทักษะ ครูจะเสียเวลาในช่วงนี้มาก เพราะแต่ละคนมี ความสามารถแตกต่างกัน ครูสามารถให้นักเรียนแต่ละคนได้ฝึกทักษะจากคอมพิวเตอร์แทน
9.
ทำให้ครูได้มีการพัฒนาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ และมีการนำสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาใช้ ในการเรียนการสอนมากขึ้น
10.
สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้เหมาะสม สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแม้จะมีประโยชน์หลาย ๆ ด้านก็ตาม แต่ในการนำเอาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มาใช้ในการ เรียนการสอนนั้น จะต้องคำนึงถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นด้วย เพราะคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไม่สามารถ ที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ เนื่อง จาก คอมพิวเตอร์เป็นเพียงอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ช่วยในการเรียนการสอนเท่านั้น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนให้มีประสิทธิภาพสูงนั้นจะต้องอาศัย บุคลากร ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน
คุณค่าของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
การนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาใช้ในการเรียนการสอนพบว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีคุณค่าทาง การสอน คือ
1.
ให้ข้อมูลย้อนกลับอย่างรวดเร็ว เมื่อนักเรียนมีปัญหา หรือไม่เข้าใจในบทเรียนหรือเมื่อนักเรียนตอบคำถามได้ถูกต้องเครื่องจะรายงาน ผลให้ทราบทันที ซึ่งเป็นการกระตุ้น ให้ผู้เรียนมีความต้องการ ที่จะเรียนต่อไป
2.
ลดปัญหาระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนกับนักเรียน เพราะเป็นการเรียน แบบ เอกัตบุคคลผู้เรียนสามารถเรียนรู้ทันกันได้
3.
ผู้เรียนที่เรียนดี จะเรียนได้เร็วกว่าการสอนปกติ และช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหา โดยการจัด โปรแกรมเสริมในส่วนที่ยังไม่เข้าใจและยังเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับนักเรียนที่ เรียนเก่งให้สามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง
4.
เป็นสื่อการสอนที่ดี เพราะสื่อการสอนชนิดอื่นไม่สามารถทำได้ เช่น การสร้างสถานการณ์จำลอง การเลียนแบบของจริง ตลอดจนการช่วยตัดสินใจการเสนอเนื้อหาใหม่ ๆ หรือจะให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาเดิมอีก ก็ได้
5.
ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปรับปรุงเนื้อหาบทเรียนสามารถทำได้รวดเร็ว
6.
ความทันสมัยของคอมพิวเตอร์จะช่วยให้สื่อน่าสนใจยิ่งขึ้น
7.
สามารถใช้สื่ออื่น ๆ ร่วมกันได้ เช่น เสียง ภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น
8.
สามารถสื่อสาร และถ่ายโอนข้อมูลในระบบสารสนเทศได้ดี                                                              
          จากคุณลักษณะของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนดังกล่าว ทำให้แตกต่างไปจากสื่อการสอนอื่น ๆ คือ สามารถโต้ตอบ และแสดงผลลัพธ์ บางอย่างให้ผู้เรียนดูได้ทันที ทำให้น่าตื่นเต้น สนุกสนาน เร้าความสนใจให้ อยากเรียน ด้วยเหตุนี้ จึงมีการศึกษาผลของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซึ่งพอสรุปได้ว่า การใช้คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน มีส่วนเสริมให้มีการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลดีกว่าการสอนแบบอื่น
การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
         การนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มาใช้งาน สามารถกระทำได้หลายลักษณะ ได้แก่
1.
ใช้สอนแทนผู้สอน ทั้งในและนอกห้องเรียน ทั้งระบบสอนแทน, บททบทวน และสอนเสริม
2.
ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนทางไกล ผ่านสื่อโทรคมนาคม เช่น ผ่านดาวเทียม เป็นต้น
3.
ใช้สอนเนื้อหาที่ซับซ้อน ไม่สามารถแสดงข้องจริงได้ เช่น โครงสร้างของโมเลกุลของสาร
4.
เป็นสื่อช่วยสอน วิชาที่อันตราย โดยการสร้างสถานการณ์จำลอง เช่น การสอนขับเครื่องบิน การควบคุมเครื่องจักรกลขนาดใหญ่
5.
เป็นสื่อแสดงลำดับขั้น ของเหตุการณ์ที่ต้องการให้เห็นผลอย่างชัดเจน และช้า เช่น การทำงานของมอเตอร์รถยนต์ หรือหัวเทียน
6.
เป็นสื่อฝึกอบรมพนักงานใหม่ โดยไม่ต้องเสียเวลาสอนซ้ำหลายๆ หน
7.
สร้างมาตรฐานการสอน
ลักษณะของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
         บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ควรมีลักษณะการนำเสนอเป็นตอน ตอนสั้นๆ ที่เรียกว่า เฟรม หรือ กรอบ เรียงลำดับไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง (Self Learning) และควรจัดทำปุ่มควบคุม หรือรายการควบคุมการทำงาน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ได้ เช่น มีส่วนที่เป็นบททบทวน หรือแบบฝึกปฏิบัติ แบบทดสอบ หลังจากที่มีการนำเสนอไปแต่ละตอน หรือแต่ละช่วง ควรตั้งคำถาม เพื่อเป็นการทบทวน หรือเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ในเนื้อหาใหม่ที่นำเสนอแก่ผู้เรียน สำหรับการตอบสนองต่อการตอบคำถาม ควรใช้เสียง หรือคำบรรยาย หรือภาพกราฟิก เพื่อสร้างแรงจูงใจ ความมั่นใจในการเรียนรู้ โดยเฉพาะเนื้อหาสำหรับเด็กเล็ก นอกจากนี้ควรมีส่วนที่เสริมความเข้าใจ ในกรณีที่ผู้เรียนตอบคำถามผิด ไม่ควรข้ามเนื้อหา โดยไม่ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง เกี่ยวกับเรื่องเวลาในการเรียน ควรให้อิสระต่อผู้เรียน ไม่ควรจำกัดเวลา เพื่อเปิดโอกาสให้เรียนตามความต้องการของผู้เรียนเอง เนื้อหาบทเรียนควรมีทางเลือกหลากหลาย เช่น ถ้าผู้เรียนรับรู้ได้เร็ว ก็สามารถข้ามเนื้อหาบางช่วงได้ เป็นต้น
ส่วนประกอบในการจัดทำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
         การจัดทำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จะต้องมีการวางแผน โดยคำนึงถึงส่วนประกอบในการจัดทำ ดังนี้
1.
บทนำเรื่อง (Title) เป็นส่วนแรกของบทเรียน ช่วยกระตุ้น เร้าความสนใจ ให้ผู้เรียนอยากติดต่อเนื้อหาต่อไป
2.
คำชี้แจงบทเรียน (Instruction) ส่วนนี้จะอธิบายเกี่ยวกับการใช้บทเรียน การทำงานของบทเรียน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เรียน
3.
วัตถุประสงค์บทเรียน (Objective) แนะนำ อธิบายความคาดหวังของบทเรียน
4.
รายการเมนูหลัก (Main Menu) แสดงหัวเรื่องย่อยของบทเรียนที่จะให้ผู้เรียนศึกษา
5.
แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre Test) ส่วนประเมินความรู้ขั้นต้นของผู้เรียน เพื่อดูว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานในระดับใด
6.
เนื้อหาบทเรียน (Information) ส่วนสำคัญที่สุดของบทเรียน โดยนำเสนอเนื้อหาที่จะนำเสนอ
7.
แบบทดสอบท้ายบทเรียน (Post Test) ส่วนนี้จะนำเสนอเพื่อตรวจผลวัดสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
8.
บทสรุป และการนำไปใช้งาน (Summary – Application) ส่วนนี้จะสรุปประเด็นต่างๆ ที่จำเป็น และยกตัวอย่างการนำไปใช้งาน
การออกแบบหน้าจอของบทเรียน
         เนื่องจากการจัดทำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นการนำเสนอผ่านคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการออกแบบหน้าจอ จึงเป็นประเด็นสำคัญด้วย เพื่อดึงดูดความสนใจ และช่วยให้จัดรูปแบบการนำเสนอที่สมดุลกันขององค์ประกอบต่างๆ บนจอภาพ เพราะถ้าเนื้อหาถึงจะดีเพียงใดก็ตาม หากหน้าจอไม่ดี หรือไม่ดึงดูด ก็ส่งผลต่อการใช้โปรแกรมได้ คุณค่าของสื่อก็จะลดลงด้วย โดยองค์ประกอบเกี่ยวกับการออกแบบหน้าจอ ได้แก่
ความละเอียดของจอภาพ
        ปัจจุบันความละเอียดของจอภาพที่นิยมใช้ จะมีสองค่า คือ 640×480 pixel และ 800×600 pixel ดังนั้นควรพิจารณาถึงความละเอียดที่จะดีที่สุด เพราะหากออกแบบหน้าจอ สำหรับจอภาพ 800×600 pixel แต่นำมาใช้กับจอภาพ 640×480 pixel จะทำให้เนื้อหาตกขอบจอได้ แต่ถ้าหากจัดทำด้วยค่า 640×480 pixel หากนำเสนอผ่านจอ 800×600 pixel จะปรากฎพื้นที่ว่างรอบเฟรมเนื้อหาที่นำเสนอ
การใช้สี
    เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนั่งดู และศึกษาบทเรียนได้ดี ควรใช้สีในโทนเย็น หรืออาจจะพิจารณาองค์ประกอบร่วมกัน คือ สีของพื้น (Background) ควรเป็นสีขาว, สีเทาอ่อน ในขณะที่สีข้อความ ควรเป็นสีในโทนเย็น เช่น สีน้ำเงินเข้ม, สีเขียวเข้ม หรือสีที่ตัดกับสีพื้น จะมีการใช้สีโทนร้อน กับข้อความที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษเท่านั้น และไม่ควรใช้สีเกิน 4 สีกับเนื้อหาข้อความ ไม่ควรสลับสีไปมาในแต่ละเฟรม
รูปแบบของการจัดหน้าจอ
    รูปแบบของการจัดหน้าจอ ที่สมดุลกันระหว่างเมนู, รายการเลือก, เนื้อหา, ภาพประกอบ จะช่วยให้ผู้ใช้สนใจเนื้อหาได้มาก โดยมากมักจะแบ่งจอภาพเป็นส่วนๆ ได้แก่ ส่วนแสดงหัวเรื่อง, ส่วนแสดงเนื้อหา, ส่วนแสดงภาพประกอบ, ส่วนควบคุมบทเรียน, ส่วนตรวจสอบเนื้อหา, ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น นาฬิกาแสดงเวลา, หมายเลขเฟรมลำดับเนื้อหา, คะแนน เป็นต้น
การนำเสนอเนื้อหาที่เป็นข้อความ
       ซึ่งแรกที่ควรคำนึงถึงคือ ฟอนต์ที่นำมาใช้งาน ควรเป็นฟอนต์มาตรฐาน มีรูปแบบที่ชัดเจน มีการกำหนดขนาดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย นำเสนอด้วยข้อความนำแบบสั้นๆ เพื่อดึงเข้าเนื้อหาจริง หลีกเลี่ยงการนำเสนอแบบจัดกึ่งกลาง ควรนำเสนอภาพพอประมาณ ไม่มาก หรือน้อยเกินไป จุดเน้นให้ใช้การตีกรอบสี หรือเน้นด้วยสีตัวอักษรด้วยสีโทนร้อน
รูปแบบการนำเสนอ และควบคุมบทเรียน
รูปแบบการนำเสนอ อาจจะใช้แบบรายการเลือก หรือแบบเรียงลำดับเนื้อหา หรืออาจจะใช้การคลิกไปยังส่วนประกอบต่างๆ ของภาพที่นำเสนอก็ได้ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่นำเสนอนั้นๆ
ลักษณะของการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ดี มีดังนี้
1.
สร้างขึ้นตามจุดประสงค์ของการสอน
2.
เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน
3.
มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนให้มากที่สุด
4.
มีลักษณะเป็นการสอนรายบุคคล
5.
คำนึงถึงความสนใจของผู้เรียน
6.
สร้างความรู้สึกในทางบวกกับผู้เรียน
7.
จัดทำบทเรียนให้สามารถแสดงผลย้อนกลับไปยังผู้เรียนให้มาก ๆ
8.
เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการเรียนการสอน
9.
มีวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้เรียนอย่างเหมาะสม
10.
ใช้สมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเต็มที่ และหลีกเลี่ยงข้อจำกัดบางอย่างของเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่บนพื้นฐานของการออกแบบการสอนคล้ายกับการผลิตสื่อชนิดอื่น ๆควรมีการประเมินผล ทุกแง่ทุกมุม

เว็บเควสท์ (WebQuest)

เรียนรู้กับเว็บเควสท์ (WebQuest)

เว็บเควสต์ คืออะไร ? 
        เว็บเควสท์  (WebQuest)   เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการแสวงหาความรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นฐานครูหรือผู้สอนไม่ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนแต่ฝ่ายเดียว แต่ครูหรือผู้สอนจะทำหน้าที่เป็นผู้จัดกลุ่ม เรียบเรียงและลำดับความรู้ต่างๆ ให้อำนวยความสะดวกแก่ผู้เรียนในการเข้าถึงความรู้นั้นๆ อย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
       ลักษณะของเว็บเควสท์ที่สำคัญ  คือ  แสดงเพียงโครงร่างเนื้อหาเป็นกรอบของความรู้ที่ผู้เรียนต้องหรือควรที่จะศึกษา ไม่ได้มุ่งแสดงเนื้อหาราย ละเอียดของความรู้นั้นๆ ที่ชี้ชัดเจนลงไปโดยตรง  ดังเช่น
 การเปรียบเทียบระหว่างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับวิธีการของเว็บเควสท์
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
วิธีการของเว็บเควสท์
     บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทั่วๆ ไป  ที่ผู้ออกแบบได้ระบุเนื้อหาเฉพาะเพียงกรอบของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ต้องการเท่านั้น 
     ในการเข้าสู่เนื้อหาความรู้ต่างๆได้โดยใช้ตัวเชื่อมโยง บน หน้าเว็บเพจหลักของกรอบโครงสร้าง เนื้อหาหลักที่ผู้ออกแบบจัดกลุ่ม  เรียบเรียง  และลำดับดังที่กล่าวไว้แล้วนั้น เชื่อมโยงไปยังแหล่งความรู้อื่นๆ ในเว็บไซต์อื่นที่ผู้สอนหรือผู้ออกแบบพิจารณาเห็นว่ามีเนื้อหาสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียน


การเรียนโดยใช้กิจกรรมแบบเว็บเควสท์
ควรเรียนตามลำดับขั้นตอนทั้ง  6  ขั้น  คือ
   1. ขั้นนำ  (Introduction)
   2. ขั้นภาระกิจ  (Task)
   3. ขั้นกระบวนการ  (Process)
   4. ขั้นชี้แหล่งความรู้  (Resources)
   5. ขั้นประเมินผล  (Evaluation)
   6. ขั้นสรุป  (Conclusion)
ข้อดี
      ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าได้ด้วยตนเองอย่างมีลำดับขั้นตอน ซึ่งเป็นการฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ และเป็นการฝึกให้ผู้เรียนค้นคว้าและติดตามเนื้อหาที่ลึกลงไป ทำให้สะดวกต่อการประเมินผลรายบุคคล
ข้อเสีย
      ลักษณะของเว็บเควสท์จะแสดงเพียงโครงร่างเนื้อหาเป็นกรอบของความรู้ที่ผู้เรียนต้องหรือควรที่จะศึกษา ไม่ได้มุ่งแสดงเนื้อหาราย ละเอียดของความรู้นั้นๆ ที่ชี้ชัดเจนลงไปโดยตรง 
สรุป
      ในการเรียนด้วยวิธีการของเว็บเควสท์จะต้องเรียนผ่านทุกกิจกรรม เพราะทุกกิจกรรมมีความสำคัญในการเรียน ถ้าเรียนไม่ครบจะไม่สามารถสรุปเนื้อหาบทเรียนได้เลย ก่อนเรียนควรทำแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อวัดความรู้เมื่อเรียนครบทุกกิจกรรมแล้วควรทำแบบทดสอบหลังเรียนเพื่อวัดความรู้หลังเรียน
 บทเรียนเว็บเควสท์ (WebQuest) เป็นกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เน้นการแสวงหาความรู้ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน ผู้สอนหรือ ผู้ออกแบบ
บทเรียน ไม่ได้ทำหน้าที่ ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียน แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นผู้จัดกลุ่ม เรียบเรียง และลำดับความรู้ต่าง ๆ  ให้อำนวยความสะดวก แก่ผู้เรียน เพื่อให้เข้าถึงความรู้นั้น ๆ  อย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน โดยมุ่งการแก้ปัญหาเป็นสำคัญ
                  ความเจริญก้าวหน้าของเว็บเควสท์ในปัจจุบันพบว่า  ได้มีการพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1995 ดยมีเป้าหมายที่นำแหล่งความรู้ที่หลากหลายบนเครือข่าย 
World Wide Web
 มาใช้เป็นฐานในการัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยผู้เรียนแสวงรู้จากแหล่งความรู้ที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน หรือกล่าวอีกในหนึ่งว่า เว็บเควสท์  เป็นกิจกรรมการเรียนการสอน  ที่เน้นการแสวงหาความรู้ดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นฐาน ในการปฏิสัมพันธ์
กับผู้เรียนบนแหล่งต่างๆ ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต  โดยมีผู้ให้คำนิยามไว้มากมายดังนี้
                  ลักษณะของเว็บเควสท์ที่สำคัญคือ แสดงเพียงโครงร่างเนื้อหา เป็นกรอบของความรู้ที่ผู้เรียนต้องการหรือควรจะศึกษา ไม่ได้มุ่งแสดงเนื้อหา
รายละเอียดของความรู้นั้นๆ ที่ชี้ชัดลงไปโดยตรง ดังเช่นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทั่วๆ ไป ที่ผู้ออกแบบได้ระบุเนื้อหาเฉพาะเพียงกรอบ ของวัตถุประสงค์
เชิงพฤติกรรมที่ต้องการเท่านั้น วิธีการของเว็บเควสท์ในการเข้าสู่เนื้อหาความรู้ต่างๆ ได้โดยใช้ตัวเชื่อมโยงบนหน้าเว็บเพจหลัก ของกรอบโครงสร้าง
เนื้อหาหลักที่ผู้ออกแบบจัดกลุ่ม เรียบเรียง และลำดับ ดังที่กล่าวไว้แล้วนั้นเชื่อมโยงไปยังแหล่งความรู้อื่น ๆ ในเว็บไซต์อื่นที่ผู้สอนหรือผู้ออกแบบพิจารณาเห็นว่า มีเนื้อหาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียน
                  การสร้างบทเรียนแบบเว็บเควสท์ การสร้างเว็บเควสท์ เป็นการจัดสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นจึงต้องมีการออกแบบ วางแผน พัฒนาบทเรียน โดยมีขั้นตอน 7 ขั้นดังนี้ (Lamb, 2004)                
                  1. เลือกหัวข้อ 2. เลือกการออกแบบ 3. เลือกเครื่องมือในการพัฒนา 4. สร้างการประเมินผล 5. พัฒนากระบวนการ 6. ทดสอบ / เผยแพร่
7. ประเมินผลเว็บเควสท์
                  ประโยชน์ของการเรียนการสอนแบบเว็บเควสท์
                   1  ช่วยเหลือ สนับสนุนเพื่อนสมาชิกอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล              
                   2  แบ่งปันแหล่งข้อมูล และวัสดุ รวมไปถึงกระบวนการในการจัดการข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล            
                   3  มีการสนองตอบตามคำเรียกร้อง หรือช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างเป็นลำดับ        
                   4  ท้าทายข้อสรุปของกันและกัน ร่วมกันขบคิด หาแนวทางที่ดีที่สุดร่วมกัน              
                   5  ผลักดันให้ไปสู่เป้าหมายร่วมกัน               
                   6  จะบรรลุเป้าหมายได้มาจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกๆ คน            
                   7  เชื่อมั่นในพลังของกลุ่ม ไว้ใจเพื่อนสมาชิก            
                   8  เข้าใจปัญหาตรงกัน เพื่อไปสู่เป้าหมายร่วมกัน            
                   9  ตัดความลังเลสงสัย และความคิดที่ว่า ทำเพราะต้องทำออกจากใจ
                   รูปแบบการเรียนรู้ในเว็บเควสท์
                   รูปแบบการเรียนรู้ในเว็บเควสท์สามารถสรุปได้ใน  3  ลักษณะ คือ  ลักษณะร่วมมือกัน  ลักษณะแข็งขันกันและลักษณะต่างคนต่างเรียน  ซึ่งผู้สอนควรออกแบบการเรียนการสอนให้ผู้เรียนสามารถเรียนแบบลักษณะร่วมมือกันเพื่อให้ผู้เรียนร่วมกันคิด  แก้ไขปัญหาร่วมประสบการณ์  และร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานออกมา
                    สรุปว่า เว็บเควสท์ เป็นเว็บที่มีการออกแบบให้มีกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีลักษณะการเรียนแบบสืบสอบ (Inquiry-Oriented)  กล่าวคือ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ความรู้จากการค้นคว้าด้วยตัวเองจากแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ทางอินเทอร์เน็ตที่จัดเตรียมไว้ในเว็บเควสท์ตามขั้นตอนที่กำหนด และมีลักษณะสำคัญ คือ เว็บเควสท์แสดงเพียงโครงร่างเนื้อหา เป็นกรอบของความรู้ที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาไม่ได้นำเอาของเนื้อหาในการเรียนใส่ลงไปในบทเรียน


                                                                                 ได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/492428

อินเตอร์แอ็กทีฟมัลติมิเดีย

อินเตอร์แอ็กทีฟมัลติมิเดีย


สื่อ Interactive Multimedia คือ เทคโนโลยีทางการศึกษาที่เป็นระบบคอมพิวเตอร์รูปแบบ  ใหม่ ที่ถูกนำมาใช้ในระบบการเรียนการสอน (ซึ่ง SE-ED Learning Center เป็นรายแรกในประเทศไทย ที่มีการนำเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้ประกอบการเรียนการสอนในวิชาภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการ) โดยมี     วัตถุประสงค์ในการกระตุ้นการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของนักเรียน โดยมีปฏิสัมพันธ์ผ่านระบบ เสียง ข้อความ การ์ตูน Animation เพลง ดนตรี และภาพกราฟฟิกต่างๆ ซึ่งจะทำให้นักเรียนสามารถฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ ทั้ง ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน อย่างกระตือรือร้น และสนุกสนาน

การเรียนการสอนในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English จะมีการประยุกต์ใช้สื่อ Inteactive Multimedia ผ่าน Interactive Whiteboard ร่วมกับการทำกิจกรรมฝึกภาษาอังกฤษในชั้นเรียน ในรูปแบบ Activity Based Learning ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้สื่อ Interactive Multimedia ประกอบนี้ จะทำให้นักเรียนได้ ฝึกใช้ภาษาอังกฤษ จนเกิดความชำนาญ และสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ (ฝ่ายวิชาการภาษาอังกฤษ SE-ED Learning Center เชื่อว่า ทักษะทางภาษาอังกฤษจะเพิ่มขึ้น ถ้านักเรียนมี อัตราการใช้ภาษาอังกฤษ (English Use Rate)” ที่เพิ่มมากขึ้น)

สื่อ Interactive Multimedia ที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนในหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English นั้นมีการผสมผสาน สื่อการเรียนการสอนต่างๆ อย่างบูรณาการ ซึ่งประกอบไปด้วย

กิจกรรมการเรียนการสอนภายในห้องเรียน (During Class Activities): ครูผู้สอนจะใช้ Interactive Multi – ROMs หรือ Web School ผ่าน Interactive Whiteboard ในการอำนวยการเรียนการสอน และกิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้คำศัพท์ (Vocabulary) โครงสร้างประโยค (Sentence Pattern) และไวยากรณ์ (Grammar) ตลอดจนได้ฝึกพูด ฝึกใช้ภาษาอังกฤษ
กิจกรรมการฝึกฝนภาษาอังกฤษหลังเลิกเรียน (After Class Activities): นักเรียนที่เรียนในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World คุณพ่อคุณแม่สามารถมีส่วนร่วมในการทบทวนบทเรียน และพัฒนาทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนได้ผ่าน DVD Interactive Multi – ROMs ในขณะที่นักเรียนที่เรียนในหลักสูตร ACTive English ก็สามารถทบทวนบทเรียน และฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ผ่านการทำแบบฝึกหัดในระบบ e-Homework การอ่านหนังสือนอกเวลาแบบ Extensive Reading ผ่านระบบ Animation และการเล่นเกมออนไลน์ภาษาอังกฤษ (เกม Magic Fighter) ในระบบ Web School
การฝึกฝน และแบบฝึกหัด (Drill): หลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English ได้บูรณาการสื่อการเรียนการสอนต่างๆ อย่างครบวงจร โดยหนังสือเรียน (Student’s Book) หนังสืออ่านนอกเวลา (Reader) และแบบฝึกหัด (Workbook) ทุกๆ เล่มของหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English จะมี Audio CD และมีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับระบบ Web School ซึ่งทำให้การทำแบบฝึกหัด หรือการทำการบ้านของนักเรียน สามารถพัฒนาทักษะการอ่าน การเขียน และการฟัง ของนักเรียนไปควบคู่กัน อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่หนังสือเรียน (Student’s Book) ของหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World ก็จะมี DVD Interactive Multi – ROMs ซึ่งบรรจุ เพลง นิทาน และเกมฝึกทักษะภาษาอังกฤษต่างๆ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ในการทบทวนบทเรียน และเพิ่มพูนทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนที่บ้านได้
นอกจากนี้สื่อ Interactive Multimedia ที่ใช้ในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English ยังเป็นกลไกสำคัญ ที่ฝ่ายวิชาการภาษาอังกฤษ SE-ED Learning Center ใช้ในการควบคุมมาตรฐาน และคุณภาพการเรียนการสอนในหลักสูตร โดยฝ่ายวิชาการ SE-ED Learning Center จะมีความมั่นใจว่าครูผู้สอนทุกๆ คน ในหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English ในทุกๆ โรงเรียนที่นำเอาหลักสูตรนี้ไปใช้อำนวยการเรียนการสนอ จะมีรูปแบบ และเนื้อหาการเรียนการสอนที่มีมาตรฐานเหมือนกัน นักเรียนทุกๆ คนที่เรียนในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English ไม่ว่าจะเรียนจากที่โรงเรียนใด จะได้เรียน ได้ฝึกภาษาอังกฤษที่มีคุณภาพการในระดับสากลที่เท่าเทียมกัน ทั้งในด้านของวงคำศัพท์ (Headwords) โครงสร้างประโยค (Sentence Pattern) และไวยากรณ์ (Grammar) ภายใต้กรอบมาตรฐานทางภาษาอังกฤษของสหภาพยุโรป CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) และมาตรฐานการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ Anglia English Proficiency Examination และ Cambridge Young Learners Tests (CYLET)

ดังนั้นด้วยสื่อ Interactive Multimedia ที่ครบวงจร และมีประสิทธิภาพของหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครองมีความมั่นใจว่า นักเรียนจะมีทักษะ และพัฒนาการทางภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น (เนื่องจากการที่นักเรียนมีอัตราการใช้ภาษาอังกฤษที่เพิ่มขึ้น และรู้สึกสนุกสนานต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ) สามารถพูด และใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วภายใต้มาตรฐานสากล ที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเรียนหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English จากโรงเรียนใดก็ตาม

แหล่งที่มา: http://www.act-english.com/qa/q10/

การสอนบนเว็บ

การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) นวัตกรรมเพื่อคุณภาพการเรียนการสอน
บทนำ
เวิลด์ ไวด์ เว็บ หรือ บริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบันเริ่มเข้ามาเป็นที่รู้จักในวงการศึกษาในประเทศไทยตั้งแต่พ.ศ. 2538 เวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา เว็บได้เข้ามามีบทบาทสำคัญทางการศึกษาและกลายเป็นคลังแห่งความรู้ที่ไร้พรมแดน ซึ่งผู้สอนได้ใช้เป็นทางเลือกใหม่ในการส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อเปิดประตูการศึกษาจากห้องเรียนไปสู่โลกแห่งการเรียนรู้อันกว้างใหญ่ รวมทั้งการนำการศึกษาไปสู่ผู้ที่ขาดโอกาสด้วยข้อจำกัดทางด้านเวลาและสถานที่
การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction ) เป็นผลของความพยายามในการใช้เว็บเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแก่ผู้เรียน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทางการเรียนเนื่องจากการสอนบนเว็บยังเป็นเรื่องใหม่ ยังมีครูผู้สอน รวมทั้งนักการศึกษาจำนวนมากที่สนใจการจัดการสอนบนเว็บ แต่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการนำเว็บไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อนำเสนอภาพรวมเกี่ยวกับการสอนบนเว็บซึ่งครอบคลุมถึงความหมาย คุณลักษณะสำคัญ ข้อได้เปรียบ รวมทั้งวิธีการในการจัดให้มีการสอนบนเว็บและปัจจัยที่ควรพิจารณาในการจัดการสอนบนเว็บ สำหรับวิธีการในการจัดให้มีการสอนบนเว็บโดยละเอียดนั้น ผู้เขียนจะนำเสนอในโอกาสต่อ ๆ ไป
การสอนบนเว็บคืออะไร
การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) เป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้และแก้ปัญหาในเรื่องข้อจำกัดทางด้านสถานที่และเวลา โดยการสอนบนเว็บจะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด์ ไวด์ เว็บ ในการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอน ซึ่งการเรียนการสอนที่จัดขึ้นผ่านเว็บนี้ อาจเป็นบางส่วนหรือทั้งหมดของกระบวนการเรียนการสอนก็ได้
การสอนบนเว็บเป็นรูปแบบการเรียนการสอน ที่แตกต่างไปจากการเรียนในห้องเรียน กล่าวคือ ผู้เรียนจะเรียนผ่านจอคอมพิวเตอร์ซึ่งต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยผู้เรียนจะสามารถเรียนจากที่ใดก็ได้ ในเวลาใดก็ได้ยกเว้นในบางหลักสูตรที่ออกแบบให้ผู้เรียนเข้ามาเรียนในเวลาที่กำหนด เช่นในลักษณะของการออกอากาศบนเว็บ (Web Cast) โดยปรกติแล้ว ขั้นตอนการสอนบนเว็บจะเริ่มจากการที่ผู้เรียนเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต หรืออินทราเน็ต และใช้บราวเซอร์ (โปรแกรมอ่านเว็บ) เปิดไปยังเว็บไซต์การศึกษาที่ได้ออกแบบไว้ บางกรณีผู้เรียนจะต้องมีการลงทะเบียนก่อนเพื่อขอรหัสผ่านเข้าเรียน หลังจากนั้น ผู้เรียนจะศึกษาเนื้อหา โดยวิธีในการศึกษา อาจเป็นการอ่านข้อความบนจอ หรือโหลดเนื้อหาลงมายังเครื่องของตน หรือสั่งพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์เพื่อศึกษาภายหลังก็ได้ โดยผู้เรียนจะจะมีการโต้ตอบกับเนื้อหาบทเรียนซึ่งใช้การนำเสนอในลัษณะของไฮเปอร์มีเดีย หรือสื่อประสมต่าง ๆ อันได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง เสียง กราฟิก วีดีทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว ซึ่งสามารถออกแบบให้เนื้อหาที่มีความสัมพันธ์กันเชื่อมโยง (ลิงค์) เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งทำให้ผู้เรียนนอกจากจะสามารถเรียกอ่านเนื้อหาที่ผู้สอนเตรียมไว้ได้ตามปรกติแล้ว ยังสามารถเรียกอ่านเนื้อหาที่ผู้สอนลิงค์ไว้จากเว็บไซต์อื่น ๆ จากทั่วโลกได้ นอกจากนี้ผู้เรียนจะสามารถโต้ตอบกับผู้เรียนอื่น หรือ กับผู้สอนได้โดยการโต้ตอบนี้อาจเป็นได้ทั้งแบบเวลาเดียวกัน และต่างเวลากัน และในลักษณะของบุคคลต่อบุคคล บุคคลต่อกลุ่ม หรือกลุ่มต่อกลุ่มก็ได้ ในบางครั้งผู้เรียนอาจจะต้องทำการทดสอบหลังจากการเรียนด้วย และในกรณีที่ผู้สอนทำการสอนบนเว็บอย่างเต็มรูปแบบ ผู้เรียนจะต้องรับ-ส่งงานและเข้ามาตรวจสอบผลป้อนกลับบนเว็บไซต์ด้วย 
ราชบัณฑิตได้บัญญัติคำศัพท์ "Web-Based Instruction" ไว้ว่า "การสอนโดยใช้เว็บเป็นฐาน" หรือ "การสอนบนเว็บ" เนื่องจากคำว่า "การสอนบนเว็บ" เป็นคำที่นิยมใช้กันมากกว่า ในบทความนี้จึงเลือกใช้คำว่า "การสอนบนเว็บ" นอกจากนี้ยังพบการใช้คำว่า "การเรียนการสอนผ่านเว็บ" "การสอนผ่านเว็บ" "คอร์สออนไลน์" และ "โฮมเพจรายวิชา" ในเอกสารวิชาการอื่นๆ ที่ให้ความหมายเดียวกันกับการสอนบนเว็บด้วย 
คุณลักษณะของการสอนบนเว็บ
คุณลักษณะสำคัญของเว็บซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน มีอยู่ 8 ประการ ได้แก่
1.
การที่เว็บเปิดโอกาสให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และผู้เรียนกับผู้เรียน หรือผู้เรียนกับเนื้อหาบทเรียน
2.
การที่เว็บสามารถนำเสนอเนื้อหา ในรูปแบบของสื่อประสม (Multimedia)
3.
การที่เว็บเป็นระบบเปิด (Open System) ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้มีอิสระในการเข้าถึงข้อมูลได้ทั่วโลก
4.
การที่เว็บอุดมไปด้วยทรัพยากร เพื่อการสืบค้นออนไลน์ (Online Search/Resource)
5.
ความไม่มีข้อจำกัดทางสถานที่และเวลาของการสอนบนเว็บ (Device, Distance and Time Independent) ผู้เรียนที่มีคอมพิวเตอร์ในระบบใดก็ได้ ซึ่งต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต จะสามารถเข้าเรียนจากที่ใดก็ได้ในเวลาใดก็ได้
6.
การที่เว็บอนุญาตให้ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุม (Learner Controlled) ผู้เรียนสามารถเรียนตามความพร้อม ความถนัดและความสนใจของตน
7.
การที่เว็บมีความสมบูรณ์ในตนเอง (Self- contained) ทำให้เราสามารถจัดกระบวนการเรียนการสอนทั้งหมดผ่านเว็บได้
8.
การที่เว็บ อนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสาร ทั้งแบบเวลาเดียว (Synchronous Communication) เช่น Chat และต่างเวลากัน (Asynchronous Communication) เช่น Web Board เป็นต้น
ทำไมต้องใช้การสอนบนเว็บ
การสอนบนเว็บมีข้อดีอยู่หลายประการ กล่าวคือ
1.
การสอนบนเว็บเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล หรือไม่มีเวลาในการมาเข้าชั้นเรียนได้เรียนในเวลา และสถานที่ ๆ ต้องการ ซึ่งอาจเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน หรือสถานศึกษาใกล้เคียงที่ผู้เรียนสามารถเข้าไปใช้บริการทางอินเทอร์เน็ตได้ การที่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังสถานศึกษาที่กำหนดไว้ จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาในด้านของข้อจำกัดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ศึกษาของผู้เรียนเป็นอย่างดี
2.
การสอนบนเว็บยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมกันทางการศึกษา ผู้เรียนที่ศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาในภูมิภาค หรือในประเทศหนึ่งสามารถที่จะศึกษา ถกเถียง อภิปราย กับอาจารย์ ครูผู้สอนซึ่งสอนอยู่ที่สถาบันการศึกษาในนครหลวง หรือในต่างประเทศก็ตาม
3.
การสอนบนเว็บนี้ ยังช่วยส่งเสริมแนวคิดในเรื่องของการเรียนรู้ ตลอดชีวิต เนื่องจาก เว็บเป็นแหล่งความรู้ที่เปิดกว้างให้ผู้ที่ต้องการศึกษา ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สามารถเข้ามาค้นคว้าหาความรู้ได้อย่างต่อเนื่อง และตลอดเวลาการสอนบนเว็บ สามารถตอบสนองต่อผู้เรียนที่มีความใฝ่รู้ รวมทั้งมีทักษะในการตรวจสอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Meta-cognitive Skills) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.
การสอนบนเว็บ ช่วยทลายกำแพงของห้องเรียนและเปลี่ยนจากห้องเรียน 4 เหลี่ยม ไปสู่โลกกว้างแห่งการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ สนับสนุนสิ่งแวดล้อมทางการเรียนที่เชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับปัญหาที่พบในความเป็นจริง โดยเน้นให้เกิดการเรียนรู้ตามบริบทในโลกแห่งความเป็นจริง (Contextualization) และการเรียนรู้จากปัญหา (Problem-based Learning) ตามแนวคิดแบบ Constructivism
5.
การสอนบนเว็บเป็นวิธีการเรียนการสอน ที่มีศักยภาพ เนื่องจากที่เว็บได้กลายเป็นแหล่งค้นคว้าข้อมูลทางวิชาการรูปแบบใหม่ ครอบคลุมสารสนเทศทั่วโลก โดยไม่จำกัดภาษา การสอนบนเว็บช่วยแก้ปัญหาของข้อจำกัดของแหล่งค้นคว้าแบบเดิม จากห้องสมุด อันได้แก่ ปัญหาทรัพยากรการศึกษาที่มีอยู่จำกัด และเวลาที่ใช้ในการค้นหาข้อมูล เนื่องจากเว็บมีข้อมูลที่หลากหลายและเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการที่เว็บใช้การเชื่อมโยงในลักษณะของไฮเปอร์มิเดีย (สื่อหลายมิติ) ซึ่งทำให้การค้นหาทำได้สะดวกและง่ายดายกว่าการค้นหาข้อมูลแบบเดิม
6.
การสอนบนเว็บจะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ที่กระตือรือร้น ทั้งนี้เนื่องจากคุณลักษณะของเว็บที่เอื้ออำนวยให้เกิดการศึกษา ในลักษณะที่ผู้เรียนถูกกระตุ้นให้แสดงความคิดเห็นได้อยู่ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น การให้ผู้เรียนร่วมมือกันในการทำกิจกรรมต่าง ๆ บนเครือข่าย การให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงไว้บนเว็บบอร์ด หรือการให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้ามาพบปะกับผู้เรียนคนอื่น ๆ อาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญในเวลาเดียวกันที่ห้องสนทนา เป็นต้น
7.
การสอนบนเว็บเอื้อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ ซึ่งการเปิดปฏิสัมพันธ์นี้อาจทำได้ 2 รูปแบบ คือ - ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนด้วยกันและ/หรือผู้สอน - ปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนในเนื้อหาหรือสื่อการสอนบนเว็บ ซึ่งลักษณะแรกนี้ จะอยู่ในรูปของการเข้าไปพูดคุย พบปะ แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกัน (ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว) ส่วนในลักษณะหลังนั้น จะอยู่ในรูปแบบของการเรียนการสอน แบบฝึกหัด หรือแบบทดสอบที่ผู้สอนได้จัดหาไว้ให้แก่ผู้เรียน
8.
การสอนบนเว็บ ยังเป็นการเปิดโอกาสสำหรับผู้เรียน ในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ทั้งในและนอกสถาบัน จากในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก โดยผู้เรียนสามารถติดต่อ สอบถามปัญหาขอข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจริงโดยตรง ซึ่งไม่สามารถทำได้ในการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย เมื่อเปรียบเทียบกับการติดต่อสื่อสารในลักษณะเดิม ๆ
9.
การสอนบนเว็บเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานของตนสู่สายตาผู้อื่นอย่างง่ายดาย ทั้งนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนหากแต่เป็นบุคคลทั่วไปทั่วโลกได้ ดังนั้น จึงถือเป็นการสร้างแรงจูงใจภายนอก ในการเรียนอย่างหนึ่งสำหรับผู้เรียน ผู้เรียนจะพยายามผลิตผลงานที่ดีเพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงตนเอง นอกจากนี้ ผู้เรียนยังมีโอกาสได้เห็นผลงานของผู้อื่น เพื่อนำมาพัฒนางานของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
10.
การสอนบนเว็บเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรให้ทันสมัยได้อย่าง สะดวกสบายเนื่องจากข้อมูลบนเว็บมีลักษณะ เป็นพลวัตร ( Dynamic ) ดังนั้นผู้สอนสามารถ อัพเดตเนื้อหาหลักสูตรที่ทันสมัยแก่ผู้เรียน ได้ตลอดเวลา นอกจากนี้การให้ผู้เรียนได้สื่อสารและแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้อง กับเนื้อหา ทำให้เนื้อหาการเรียนมีความยืดหยุ่น มากกว่าการเรียนการสอนแบบเดิม และเปลี่ยนแปลง ไปตามความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ
11.
การสอนบนเว็บสามารถนำเสนอเนื้อหาในรูปของมัลติมีเดีย ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง เสียง ภาพเคลื่อนไหว วีดีทัศน์ ภาพ 3 มิติ โดยผู้สอนและผู้เรียนสามารถเลือกรูปแบบของการนำเสนอ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทางการเรียน
การสอนบนเว็บทำได้อย่างไร
การจัดการสอนบนเว็บสามารถทำได้ใน 3 ลักษณะด้วยกัน ได้แก่
1.
การจัดการสอนบนเว็บ โดยที่ไม่ต้องมีการเข้าชั้นเรียน
2.
การสอนบนเว็บเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ยังมีการนัดหมายมาเข้าชั้นเรียนบ้าง
3.
การจัดการสอนบนเว็บ เพื่อเสริมการเรียนการสอนในชั้นเรียนปรกติก็ได้
ทั้งนี้แล้วแต่ความเหมาะสมของเนื้อหาของแต่ละวิชา อย่างไรก็ดี การสอนบนเว็บนี้ ผู้สอนจะต้องมีการเตรียมการล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมความพร้อมของตัวผู้สอนในการฝึกฝนทักษะทางคอมพิวเตอร์ และสร้างความคุ้นเคยกับเครื่องมือต่าง ๆ บนเครือข่ายเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสร้างโฮมเพจสำหรับรายวิชาของตน การจัดหาแหล่งความรู้ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์สำหรับผู้เรียนในการเข้าศึกษาค้นคว้าเป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อให้การสอนบนเว็บเกิดประสิทธิภาพสูงสุด การออกแบบเรียนอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยการออกแบบเนื้อหาควรเป็นไปตามหลักการการออกแบบการสอน ( ISD Model ) ซึ่งสนับสนุนการสอนในลักษณะออนไลน์ รวมทั้งหลักการออกแบบการสอนทางคอมพิวเตอร์ ( CAI ) รวมทั้ง ควรมีการใช้ความสามารถของเว็บ ในการนำเสนอเนื้อหา ในลักษณะมัลติมีเดีย เพื่อถ่ายทอดการสอนที่ใกล้เคียงกับการสอนจริงมากที่สุด เช่น การใช้ภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ แสดงเนื้อหาที่ให้ความสมจริง เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อหาได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การออกแบบหน้าจอที่จูงใจผู้เรียนเป็นสิ่งที่สำคัญและควรเป็นไปตามหลักการการออกแบบพื้นที่ใช้งาน ( Functional Area ) ควรมีการใช้สีและกราฟิกที่เหมาะสม มีการแบ่งหน้าจอออกเป็นสัดส่วน โดยยึดหลักความชัดเจนและความคงตัว ( Clarity and Consistency )
ในการจัดการสอนบนเว็บนั้น ควรมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.       ตัดสินใจลักษณะในการสอนบนเว็บ (ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น)
2.      
กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของหลักสูตรที่จัดการสอนบนเว็บ
3.      
ศึกษาคุณลักษณะของผู้เรียน
4.      
ออกแบบโครงสร้างของเว็บ โดยการกำหนดโครงสร้างของเว็บคร่าวๆ ก่อนที่จะกำหนดรายละเอียด โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ในข้อ 2
5.      
หาความรู้และทักษะการใช้โปรแกรมต่าง ๆ ที่จำเป็นดังต่อไปนี้
o       
โปรแกรมช่วยในการจัดการสอนบนเว็บ ตัวอย่างเช่น Web CT ( www.wbtsystems.com ) หรือ Learning Space ของ บริษัทโลตัส ( www.lotus. Com/2442.htm ) เป็นต้น
o       
โปรแกรม ในการสร้างโฮมเพจรายวิชา เช่น Microsoft FrontPage, DreamWeaver, Navigator Gold เป็นต้น
o       
โปรแกรมอ่านข้อมูลบนเว็บ ( Web Browser ) เช่น Internet Explorer, Netscape Navigator, Opera เป็นต้น
o       
โปรแกรมไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ ( E-mail ) เช่นเว็บเมล์ เป็นต้น
o       
โปรแกรมการประชุมทางคอมพิวเตอร์ เช่น Web Board เป็นต้น
6.      
เตรียมเนื้อหาในรูปการสอนบนเว็บ ซึ่งครอบคลุมเพจ ต่าง ๆ ดังนี้
o             
โฮมเพจ หรือเว็บเพจแรกของเว็บไซต์ ซึ่งควรจะมีข้อความ ทักทายต้อนรับ มีกล่องสำหรับใส่ชื่อผู้เรียนและรหัสลับ (ในกรณีที่ต้องการให้มีการลงทะเบียนก่อนเข้าเรียน) นอก จากนี้อาจเสนอเนื้อหาสั้นๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับคอร์ส ประกอบด้วย ชื่อคอร์ส ชื่อหน่วยงาน หรือผู้รับผิดชอบ รวมทั้งรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสอนคอร์สนี้ และเชื่อม โยงไปยังเว็บเพจที่อยู่ของ ผู้เกี่ยวข้อง
o             
เว็บเพจแสดงภาพรวมของคอร์ส ( Course Overview ) แสดงสังเขปรายวิชา และเชื่อมโยงไปยังรายละเอียดของหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ควรมีคำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับหน่วยการเรียน วิธีการเรียน วัตถุประสงค์ และเป้าหมายของวิชา
o             
เว็บเพจแสดงสิ่งจำที่เป็นในการเรียน ( Course Requirements ) เช่น เอกสาร ตำรา บทความ วิชาการ และทรัพยากรการศึกษาระบบเครือข่าย(On-line Resourcse) รวมทั้งเครื่องมือต่าง ๆ ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ โปรแกรมอ่านเว็บที่จำเป็น

เมื่อใดจึงควรใช้การสอนบนเว็บ
จากประโยชน์ของการสอนบนเว็บ จะเห็นว่าการสอนบนเว็บมีข้อได้เปรียบอยู่หลายประการด้วยกัน อย่างไรก็ตามการสอนบนเว็บ จะกลายเป็นรูปแบบใหม่ของการเรียนการสอนที่มีคุณภาพได้ นั้น ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ
1.    
ความพร้อมของการเข้าถึงการสอนบนเว็บ
ความพร้อมของการเข้าถึงการเรียนการสอน เป็นสิ่งสำคัญมาก กล่าวคือ ทั้งผู้สอนและผู้เรียนจะต้องสามารถเข้าถึงการสอนโดยสะดวก ผู้สอนและผู้เรียนจะต้องมีเครื่องมือในการเรียนที่พร้อมเพรียงและมีประสิทธิภาพ ข้อสำคัญคือ การเข้าถึงการเรียนการสอนนี้จะต้องไม่แพง และมีความเร็วในการเข้าถึงในระดับที่ผู้เรียนพอทนได้ หากขาดความพร้อมของการเข้าถึงแล้ว การเรียนการสอนในลักษณะนี้ก็จะไม่ได้ประโยชน์ตามที่กล่าวมาเลย และยังจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ปรารถนาแก่ผู้เรียน เช่น ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความรู้สึกไม่คุ้มค่า เป็นต้น
2.    
ลักษณะของผู้เรียน
การสอนบนเว็บจะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยผู้เรียน ที่มีความรับผิดชอบ มีทักษะในการชี้แนวทางการเรียนของตน ( self-guided ) รวมทั้งรู้จักควบคุมและตรวจสอบการเรียนของตน ( self-monitoring ) นอกจากนี้ การสร้างแรงจูงใจในการเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญ กล่าวคือ หากผู้เรียนขาดแรงจูงใจในการเรียนซึ่งเกิดได้จากลักษณะของผู้เรียนเอง หรือเกิดจากการที่ผู้สอน ไม่ได้ให้เวลาในการสอน หรือเกิดจากการออกแบบการสอนบนเว็บที่ไม่มี ประสิทธิภาพ การสอนบนเว็บก็จะไม่ให้ผลตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้
3.    
ลักษณะของผู้สอน
การสอนบนเว็บต้องการผู้สอนที่มีความกระตือรือร้น และให้เวลากับการสอนอย่างเต็มที่ ผู้สอนมีหน้าที่สำคัญในการออกแบบกระบวนการสอนบนเว็บดังที่ได้กล่าวไว้ ในส่วนของวิธีการ ซึ่งในขั้นตอนนี้สิ่งที่สำคัญมากก็คือ การใช้เวลาส่วนหนึ่งในการกลั่นกรองสารสนเทศเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนการสอนบนเว็บอย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ ผู้สอนยังมีหน้าที่ควบคุมการสอนบนเว็บ รวมทั้งจัดหาผลป้อนกลับแก่ผู้เรียนอย่างทันท่วงที เพราะความล่าช้าในการโต้ตอบของผู้สอนต่อผู้เรียน จะทำให้ผู้เรียนขาดแรงจูงใจ ในการเรียน
บทสรุป
ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน การสอนบนเว็บได้กลายเป็นวัตกรรมเพื่อคุณภาพการเรียนการสอนที่ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป การสอนบนเว็บสามารถให้คุณค่าทางการศึกษาได้มาก ผู้สอนจึงควรพิจารณานำการสอนบนเว็บ ไปประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนของตน สุดท้ายนี้ จะเห็นว่าการสอนบนเว็บจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างแท้จริงได้นั้น จะต้องอาศัยปัจจัยสำคัญหลายประการ อันได้แก่ ความพร้อมของการเข้าถึงการสอน คุณลักษณะของผู้เรียนและของผู้สอน
ที่มา:https://www.gotoknow.org/posts/3597