วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559

การเล่าเรื่องด้วยระบบดิจิตอล


การเล่าเรื่องด้วยระบบดิจิตอล(DIGITAL STORYTELLING)
                เล่านิทานผ่านสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling) คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยสอนในชั้นเรียนโดยเครื่องมือเหล่านั้น ได้แก่ เครื่องบันทึกวีดีทัศน์ กล้องถ่ายรูป เครื่องบันทึกเสียง คอมพิวเตอร์ ดนตรี และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสื่อต่างๆการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในห้องเรียนเริ่มเป็นที่นิยมใช้กันมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 (โรบิน2008) ในปี 2005 มหาวิทยาลัยคีน (Kean University) ได้มีการจัดสัมมนาทางวิชาการเกี่ยวกับ Digital Storytelling ได้นำเสนอไว้ว่า Digital Storytelling ได้เป็นที่ยอมรับของโรงเรียนโดยทั่วไปเพราะว่ามีส่วนช่วยในกระบวนการการเรียนรู้ของผู้เรียน แรงจูงใจในการเรียน และการสร้างข้อผูกมัด บาร์เร็ตต์ (2005) ได้นำเสนอในบทความวิจัยของเธอว่า เล่านิทานผ่านสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling) เป็นจุดศูนย์กลางของกลยุทธ์การเรียนรู้แบบมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางทั้ง 4 กลยุทธ์ ได้แก่ การสร้างข้อผูกมัดแก่ผู้เรียน (Student Engagement) การสะท้อนกลับเพื่อการเรียนรู้เชิงลึก (Reflection for Deep Learning) การควบรวมเทคโนโลยี (Technology Integration) และการเรียนรู้ผ่านการทำโครงงาน (Project-Based Learning)


          เล่านิทานผ่านสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling) คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยสอนในชั้นเรียนโดยเครื่องมือเหล่านั้น ได้แก่ เครื่องบันทึกวีดีทัศน์ กล้องถ่ายรูป เครื่องบันทึกเสียง คอมพิวเตอร์ ดนตรี และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสื่อต่างๆ การนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในห้องเรียนเริ่มเป็นที่นิยมใช้กันมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 (โรบิน, 2008) ในปี 2005 มหาวิทยาลัยคีน (Kean University) ได้มีการจัดสัมมนาทางวิชาการเกี่ยวกับ Digital Storytelling ได้นำเสนอไว้ว่า Digital Storytelling ได้เป็นที่ยอมรับของโรงเรียนโดยทั่วไปเพราะว่ามีส่วนช่วยในกระบวนการการเรียนรู้ของผู้เรียน แรงจูงใจในการเรียน และการสร้างข้อผูกมัด บาร์เร็ตต์ (2005) ได้นำเสนอในบทความวิจัยของเธอว่า เล่านิทานผ่านสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling) เป็นจุดศูนย์กลางของกลยุทธ์การเรียนรู้แบบมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางทั้ง 4 กลยุทธ์ ได้แก่ การสร้างข้อผูกมัดแก่ผู้เรียน (Student Engagement) การสะท้อนกลับเพื่อการเรียนรู้เชิงลึก (Reflection for Deep Learning) การควบรวมเทคโนโลยี (Technology Integration) และการเรียนรู้ผ่านการทำโครงงาน (Project-Based Learning)

แผนภูมิภาพแสดงกลยุทธ์การเรียนรู้แบบมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางทั้ง 4 กลยุทธ์


          แลมเบ็ตต์ กล่าวว่า มีปัจจัยสำคัญอยู่ 7 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการสร้างสื่อ การเล่านิทานผ่านสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling) ได้แก่
          1. การกำหนดมุมมองการเล่าเรื่อง (A Point of View) คือ ในการสร้างสื่อการเล่านิทานผ่านสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling) จะต้องมีการกำหนดมุมมองการเล่าเรื่องว่าจะใช้แบบใดซึ่งมีอยู่ 3 แบบ ได้แก่ มุมมองแบบบุรุษที่ 1 (First person point of view) คือ ผู้เล่าเรื่องมักเล่าจากประสบการณ์ตรงหรือเล่าเรื่องผ่านมุมมองความคิดจากตัวเอกของเรื่องและจะใช้สรรพนาม ว่า ฉันในเล่าเรื่องต่อมา คือ มุมมองแบบบุรุษที่ 2 (Second person point of view) คือ การเล่าเรื่องผ่านมุมมองความคิดของผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับตัวละครเอกเป็นเสมือนผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น และสุดท้ายคือ มุมมองความคิดแบบบุรุษที่ 3 คือ เล่าจากผู้ที่อยู่นอกเหตุการณ์แต่เป็นผู้รู้ทั้งหมด สามารถเข้าถึงความคิดของตัวละครทุกตัว สำหรับ Digital Storytelling นิยมใช้การเล่าเรื่องแบบสรรพนามบุรุษที่ 3
          2. การสร้างเงื่อนไขด้วยคำถาม (Dramatic Question) คือการสร้างความน่าติดตามของเนื้อเรื่องด้วยการเปิดประเด็นเป็นคำถามตั้งแต่ต้นเรื่อง ผู้ฟังจะได้ติดตามฟังไปเรื่อยๆ เพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามนั้น ผู้สร้าง Digital Storytelling มือใหม่มักจะลืมสิ่งนี้
          3. การสร้างสภาวะทางอารมณ์ (Emotional Content) คือ การสร้าง Digital Storytelling ที่ดีนั้นจะต้องให้ผู้ฟังสามารถหัวเราะ ร้องไห้ หรือ แสดงอารมณ์อื่นๆออกมา
          4. ความประหยัด (Economy) คือ การสร้าง Digital Storytelling ที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ฟุ่มเฟือย อาจจะใช้รูปภาพเพียงแค่ 2-3 รูป คำพูดแค่ 2-3 คำ หรือสเปเชียลเอฟเฟ็คเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้าง Digital Storytelling ที่ดีได้
          5. การใส่ลูกเล่นในน้ำเสียง (Pacing) คือการมีน้ำเสียงที่หลายหลายจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้เป็นอย่างดีจะทำให้การเล่านิทานผ่านสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling) มีน่าเบื่อ
          6. พรสวรรค์ในเสียง (The Gift of Your Voice) การสร้างสื่อการเล่านิทานผ่านสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling) กำหนดให้ผู้เรียนบันทึกเสียง และเขียนบทด้วยตนเอง ดังนั้นการใช้เสียงสูงต่ำ หรือคุณลักษณะของเสียงจะสามารถใช้ในการสื่อความหมายตามทิศทางที่ผู้เรียนกำหนดไว้เอง
          7. เสียงประกอบ (Soundtrack) ในการสร้างสื่อนิทานผ่านสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling)ดนตรีประกอบเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญที่จะทำให้การดำเนินเรื่องราวน่าสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งผู้เรียนจะดาวน์โหลดเพลงอย่างถูกลิขสิทธิ์

          นอกจากนี้ บูลล์ และ คาจเดอร์ (2004) ได้เสนอแนะขั้นตอนการดำเนินการสร้าง Digital Storytelling สำหรับผู้เรียนไว้อยู่ 7 ขั้นตอน ดังนี้
          1. เขียนบท คือการเขียนเล่าเรื่องนิทานโดยใช้ภาษาให้เหมาะสมกับทักษะความสามารถของทั้งผู้สร้าง และผู้รับฟังหรือรับชม ถ้าผู้สร้างสื่อการเล่านิทานใช้คำศัพท์ที่ยากเกินไปอาจจะทำให้ผู้สร้างไม่สามารถพูดออกเสียงคำศัพท์ต่างๆได้อย่างคล่องแคล่วนัก อาจจะมีการพูดติดขัด ออกเสียงผิด ซึ่งย่อมส่งผลต่อคุณภาพของนิทาน ในขณะเดียวกันกลุ่มผู้ฟังหรือผู้ชมย่อมเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความยากง่ายของคำศัพท์ที่ปรากฏในบท เพราะถ้ากลุ่มผู้ชมหรือผู้ฟังมีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษไม่สูง ผู้สร้างจะต้องปรับใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษให้ที่มีความเหมาะสมกับทักษะของผู้ฟัง
          2. การวาง Storyboard คือการวางโครงเรื่องเป็นฉากๆ และในแต่ละฉากจะมีตัวละครที่จะปรากฏอยู่ในฉากกี่ตัว แต่ละฉากจะมีลักษณะอย่างไร เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจตรงกันของสมาชิกในกลุ่มว่า ในแต่ละฉากใครจะต้องพูด หรือต้องสร้างเสียงประกอบ ดนตรีประกอบ หรือเสียงธรรมชาติแบบใด
          3. ประชุมบท คือการพูดต่อบทกันแบบปากเปล่าเป็นเสมือนการซ้อมพูดออกเสียงก่อนอัดจริง เพื่อให้สมาชิกมีความเข้าใจในการรับ-ส่งบทซึ่งกันและกันจะได้มีการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกผ่านทางน้ำเสียงในขณะพูดบรรยาย หรือพูดโต้ตอบกัน
          4. การลำดับภาพ คือ การจัดเรียงภาพนิ่ง ภาพถ่าย ภาพวาดหรือภาพเคลื่อนไหวที่ใช้ประกอบ การเล่านิทานผ่านสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling) โดยอาจจะมีการใช้ภาพแบบต่างๆร่วมกันได้ในงานหนึ่งชิ้น สำหรับอุปกรณ์ในการสร้างภาพเหล่านี้ สามารถใช้ได้ทั้งกล้องถ่ายรูป กล้องวีดีทัศน์ และนำมาผ่านกระบวนการสร้างภาพให้ฉายได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้อุปกรณ์ตัดต่อภาพ หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
          5. การเพิ่มเสียงบรรยาย คือ การเพิ่มเสียงบรรยาย หรือเสียงพูดโต้ตอบกันโดยเพิ่มเข้าไปในภาพที่ฉาย
          6. การเพิ่มเสียงเอฟเฟ็คและเทคนิคการเชื่อมต่อภาพ คือการเพิ่มเสียงในธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงฝนตก เสียงลม เป็นต้น และการใช้โปรแกรมตัดต่อภาพให้มีความลื่นไหลต่อเนื่อง
          7. การเพิ่มเสียงเพลงประกอบ คือ การเพิ่มเสียงเพลง เสียงร้องเพลง หรือเสียงดนตรีที่มีความสอดคล้องกับเนื้อหา หรือฉากนั้น
        




0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น